วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

The Designful Company


เรื่องใหญ่ที่ถูกมองข้ามเสมอๆ กับการทำ Presentation
ก็คือ
การใช้ตัวหนังสือ
*
นึกในใจเสมอว่า
ต้องเลือก Font ให้เข้ากับ brand สินค้า
เขาห้าวก็อย่าหวาน
เขาทันสมัย เราก็อย่าเทอะทะ
เขาน่าเชื่อถือ เราก็อย่าเล่นไป
เขาสวยน่ารัก เราก็อย่ามาทำหล่อขึงขัง

*
นึกในใจเสมอว่า
ต้องอ่านง่าย
อย่ามาทำตัวเล็กจิ๋ว
อย่ามาประดิษฐ์จนต้องถอดรหัส 38 ชั้น
ตัวหนังสือมีหัวกลมๆ (ภาษาไทย) เอาตัวรอดได้ง่ายกว่า

*
Advance ขึ้นอีกนิด
กับเรื่องสีของ Font
เตือนตัวเองเสมอว่า การขึ้นจอ projector นั้น
เขาใช้แสงในการนำพาสื่อ
มันจึงจะสว่างขึ้นจากการเห็นบนหน้าจอคอมเรา
ตัวหนังสือที่สีอ่อนมากๆ บนพื้นสีขาว จะหายไปกลางอากาศ
อยากใช้สีสว่างให้วางบนพื้นทำซะจะได้หายห่วง
แต่พอวางพื้นดำ ก็ต้องระวังอย่าใช้อักษรเข้ม
ประเภทน้ำเงิน ม่วงเข้ม น้ำตาล
เพราะการยิงแสงผ่านนั้น จะลด contrast จากหน้าจอเช่นกัน
อยากพื้นดำ ตัวอักษรต้องสว่าง
อยากพื้นขาว อักษรต้องเข้ม
*
Advance อีกขั้น
ก็เรื่องการจัดวาง
ตัวใหญ่หนา
ตัวเล็กบาง
จะวางตรงกลาง
จะวางเสมอหน้า
จะวางเสมอหลัง
ทุกอย่างมีเหตุผล และ ส่งถึงอารมณ์
มีตัวอย่างดีๆ จากหนังสือของเซียนอีกเล่ม
The Designful Company
ที่มีคนคัดลอกคำไปทำ slide presentation
เรียกว่าได้ 2 เด้งอีกแล้ว

อ่านเอาเรื่อง ก็ได้เรื่องดีไซน์
ดูเอาดีไซน์ จะได้ไอเดียเรื่องการวาง Typo Design

*
ขอให้เพลิดเพลินนะคะ





วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สลับเก้าอี้ เปลี่ยนหมวก...ดูบ้าง


จำได้ว่าสมัยเด็กจะทะเลาะกับพี่ชายเสมอ
ด้วยความที่เราไม่ชอบดูการ์ตูนผู้ชายแนวหุ่นเหล็กอภินิหารเลย
แต่สรุปความก็คือเถียงแพ้เขาทุกที
ก็เลยต้องรู้จักเจ้า Grendizer ไปโดยปริยาย
ทั้งที่เกลียดหน้าหนักหนาเวลานั้น
ไม่รู้็จะดูกันทำไม ทั้งๆ ที่รู้ว่าตอนจบก็เหมือนกันทุกตอน
พระเอกล้มตัวร้ายได้ทุกที
เลยดูไป งอแงไป ตลอดเรื่อง
*
แต่ยังไงก็จะหยุดโยเยสักครู่ ช่วงที่ประโยคนี้ดังขึ้นมา
"เปลี่ยนที่นั่งลงล่าง"
แล้วหุ่นยานร่อน ก็จะกลายเป็นหุ่นเหล็กยักษ์ใหญ่
เก่งฉกาจ ปรับแนวรบจากเพลี่ยงพล้ำสู่ชัยชนะเสมอ
*


*
วันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเป็นวิทยากร
เกี่ยวกับการทำ presentation อีกครั้ง
จบการสัมนากึ่งปฏิบัติการครั้งนี้แล้วเหมือนมีอะไรติดกลับมา
เป็นวลีเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่
"เปลี่ยนที่นั่งลงล่าง"
*
ด้วยว่าเป็นการสัมนาขนาดยาว
กินเวลาถึงวันครึ่ง
ทำให้วิทยากรต้องพร้อมเปิดใจกับตัวเองว่า
อาจจะมีบางช่วงที่ความสนใจจะ drop ลงไปบ้าง
จะยื้อแค่ไหนอย่างไร ก็ต้องมีคนเบื่อ ง่วง หลับ กันบ้าง
*
แต่ทั้งที่รู้ก็ไม่วายจะใจแป้วด้วยว่าคนนั่งหน้าสุด
ได้หลุดวงโคจรไป!!!
สร้างวิตกขึ้นฉับพลันว่าแล้วคนข้างหลังนั่นหล่ะ
จะไปถึงดาวดวงไหนแล้ว!!!!!!
*
"เปลี่ยนที่นั่งลงล่าง" ครั้งที่ 1
หายใจลึก สบตาคนที่ยังสนใจอยู่
แปลงร่างให้ใหญ่ขึ้น ดึงพลังที่เหลือออกมา
แล้วก็ต้องปล่อยหมัดอภินิหารออกไป
อย่าได้ปล่อยใจเราแป้ววว เมื่อ show ยัง goes on

ขณะคุณกำลังดำเนินการ present สิ่งที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุด
ไม่ใช่สไลด์ดับ ไมค์หวีด แอร์เสีย หรือ คนเล่น BB
แต่เป็นตัวเราเองนั่นแหล่ะ
เมื่อจิตใจด้านอ่อนแอแปลงร่างเป็นศัตรู
เราก็ต้องเปลี่ยนที่นั่งของใจด้านแข็งแรงให้มีความหวังต่อ
ปรับสายตาไปหากำลังใจ และ เป้าหมายที่ชัดเจน
คุณก็จะยัง control ศึกนี้ผ่านไปได้
*
*
เหตุการณ์ผ่านพ้นไป จนถึงเวลาที่ผู้ฟังต้องมาเป็นผู้นำเสนอบ้าง
พระเอกของเราผู้ซึ่งหลุดวงโคจรไปคนแรกนั้น
ทำให้เราเผื่อใจไว้กับตัวเองว่า
ถ้าเขาไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟังที่เราพูด และ ไม่อยากทำอะไรเลย
ก็ถือเป็นสมุดพกของเรา ที่ชี้ชัดและยืนยันว่า
การเป็นวิทยากรวันนี้สอบตก...ทุกประตู
*
การณ์กลับตาลปัด
เมื่อการนำเสนอของเขาเข้าขั้นชั้นเซียน
การจัดนำ้หนักระหว่างผู้เสนองาน สไลด์ และเรื่องราวลงตัว
Storytelling จัดลำดับได้แบบมืออาชีพ
จับวางจุดสร้างความน่าสนใจไว้พอดี

ลีลา น้ำเสียง จังหวะ เว้นวรรค หนักเบา
ราวกับผู้สมัครผู้แทน 4 สมัยซ้อนมายืนข้างหน้าเวที
เรียกเสียงกรี๊ด เสียงหัวเราะ เสียงตบมือกึกก้อง

ความมาเฉลยตอนที่ THE STAR ของเราตอบคำถาม
"ผมไม่คิดว่าจะมานำเสนองานตามที่โจทย์บอกไว้
ผมแค่อยากทำอะไรสนุกๆ ให้ห้องนี้ไม่เครียดครับ"
*
และแล้วก็ถึงบางอ๋อออออออออออออ
*
"เปลี่ยนที่นั่งลงล่าง" ครั้งที่ 2
เมื่อเราอยู่ในสภาวะตีบตัน หาหนทางออกได้ยาก
ไม่รู้จะทำให้น่าสนใจ หรือ คลี่คลายปัญหาออกอย่างไร
ไม่ว่าจะในการทำงาน หรือ Present งานก็ตาม

ลองเปลี่ยนที่นั่งลงล่าง
มองหาวิธีการแก้โจทย์เดิม โดยการเติมโจทย์ใหม่เข้าไป
แล้ววิธีการแก้ปัญหาเราอาจจะเปลี่ยนไปได้

น้องคนนี้ใช้วิธีการสร้างโจทย์ใหม่ให้ตัวเองที่ใหญ่กว่าเดิม
คือการทำให้ห้องเรียนดูสนุกขึ้น
จึงทำให้ผลลัพธ์ี่ที่เกิดมันบรรเจิดกว่าเดิมมากกกก
*
หวลคิดถึงการ Present งาน Pitching ใหญ่คราวหนึ่ง
เป็นงาน CSR ขนาดใหญ่ ลูกค้าเองก็เขื่องคับวงการ
เราและทีมงานตื่นเต้นมากมายก่อนเข้าห้อง
ด้วยความคิดที่ว่าจะต้อง...ขายงานให้ได้ ขายงานให้ได้

นายใหญ่เข้ามาตบบ่าให้กำลังใจ
"คุณเตรียมทุกอย่างมาดีที่สุดแล้ว
ไม่ต้องตื่นเต้น ไม่ต้องเกรงว่าคุณจะขายไอเดียนี้ไม่ได้
ลองคิดว่าคุณไม่ได้มาขาย หรือ เอาชนะซิ
ลองคิดว่าวันนี้คุณมาพูดให้คนกลุ่มนี้ฟังว่า
คุณกำลังจะทำอะไรดีๆ เพื่อเด็กๆ
คุณเอาไอเดียดีๆ ที่จะช่วยสังคมมาเล่าให้เขาฟัง
นึกไปที่หน้าและรอยยิ้มของเด็กๆ หากโปรแกรมนี้ได้ทำ
เด็กๆ ที่นั่นจะดีใจและมีความสุขขนาดไหน"

ความตื่นเต้นทั้งหมดหายไปเกือบหมด
เรายังทำงานเดิม เป้าหมายเดิม
แต่เปลี่ยนจุดยืนในการพูดไปแล้ว

บทสรุปวันนั้นการนำเสนอผ่านไปอย่างมีความสุขทุกฝ่าย
*
กลับมาที่ The Star ของเรา
ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในการ present ของเขา
ไม่ได้เกิดจากเราผู้เป็นวิทยากรเลยแม้แต่น้อย
แต่เป็นเนื้อตัวของเขาล้วนๆ

แต่ในอีกมิตินึง
เราเองก็ไม่ได้เป็นวิทยากรสอบตกนี่หน่า!!!
เพราะเราได้ "เปลี่ยนที่นั่งลงล่าง" ครั้งที่ 3
จากเก้าอี้ "วิทยากร" เป็น "คนรับฟัง"
และเปลี่ยนหมวก "คนสอน" มาเป็น "นักเรียนรู้" ณ จุดนี้เอง
ขอขอบคุณ ...คุณครูทั้งหลายในการอบรมครั้งนี้ด้วยนะคะ

*
ทุกขณะที่เกิดมุมมองฝั่งลบเกิดขึ้น
มันมักจะไม่ได้สร้างผลดีให้กับใครและอะไร
ลอง "เปลี่ยนที่นั่งลงล่าง" ดู
ผลลัพธ์อาจจะเกินกว่าความคาดหมายมากนัก
*
ส่วนใครจำ Grendizer ไม่ได้ชัดนัก
ดู Title นี้อีกทีนะคะ
เพราะต่อให้ดูมันครบทั้ง 100 ตอน
มันก็เหมือนแบบนี้ทุกตอนแหล่ะ
5 5 5 5
ไม่วายกัดเขาอีก
*









Expect the Unexpected


ใครนะบอกว่า
คนเขียนหนังสือเก่ง
จะพูดไม่เก่ง
*
Jonas Ridderstråle
คนเขียนหนังสือเล่มโปรดในทศวรรษนี้ของอีฉัน
FUNKY BUSINESS
นอกจากจะแสดงวิสัยทัศน์ผ่านทางตัวหนังสือ
นำเทรนด์คนค่อนโลกได้แล้ว

ยังมีพลังในการพูดบนเวทีแบบน่านับถืออีกด้วย
*

*

ข้าน้อยขอคารวะ




พูดไป เต้นไป



facebook ERA
เป็นหนังสือเล่มที่น่าสนใจ
เคาะกระโหลกเราหลายอย่าง
กับการเอา facebook มาใช้ประโยชน์ในการทำการตลาด

*

ดีใจเหลือหลาย
เมื่อความซนของนิ้วคลิกของเรา
พาลไปเจอคนเขียนหนังสือเล่มนี้
ออกมาเป็น Speaker เอง

*
ดูกัน


*

แต่พอดูไปสัก 10 วินาที
ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างเกินงาม
ด้วยอาการที่คุณ Shih พูดไป เต้นไป

*

ทำให้เราเรียนรู้ได้ว่า
เวลาเราตั้งใจมากๆๆๆๆๆๆ
แล้วคอนโทรลมันไม่ได้
มันล้นทะลักออกมาจนเราต้อง...
เดินไป พูดไป เต้นไป

*

เอาหน่าคุณ Shih
อีฉันจะ
ดูไป เต้นไป
เป็นเพื่อนนะคะ

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เมื่อ 2 เซียนมาเจอกัน

ดีจัง
ได้เรียนหนังสือแบบข้ามชาติ
ไม่ต้องนั่งเครื่อง ไม่ต้องทำวีซ่าด้วย

เซียน 2 คน
เจ้าของหนังสือดัง
คนนึง Presentation Zen
อีกคน Slide:ology

มาสอนหนังสือ มาคุยกันให้เราฟัง

เร่เข้ามานะจ๊ะ เร่เข้ามา






เรื่องตลกที่...ขำไม่ออก

คลิปนี้มันเป็นตลกอ่ะ
เสียดสี เย้ยหยัย ถากถาง
เราๆ ท่านๆ ที่ต้องพรีเซ้นต์งานทุกวี่วัน
*


*
แต่อ่ะนะ
ขำจริง
ดูไป หัวเราะไป

แต่พอดูจบก็กลับมาคิดด้วยว่า
เราเอง ก็ทำอะไร อะไร
ที่มันน่าขำ แบบนี้อ่ะเป่าาาาาาาาาา

5 rules for great presentation!

ดูกันเลย
ฟังทั้ง content
ดูทั้งการออกแบบ slide

ดูหนึ่งได้ ถึงสอง
ใครชอบของแถมคลิกดูเลยจ้า

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า "ลบ"




"หนุ่มเมืองจันท์"
นักเขียนปากกาคม จนกรีดกระดาษเป็นทาง
ใครจะไปรู้ว่า ยามขึ้นพูดบนเวที
ความสามารถด้านการเล่าก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากัน
*

กับประเด็น "มองโลกในแง่บวก" นั้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
หากเทียบกับที่เราต้องพรีเซ้นต์เรื่องราวทางการตลาดแล้ว
เราคิดว่าเราง่ายกว่ากว่าเขานะ
มีสินค้า มีคนซื้อ มีเป้าหมายชัดเจน

แต่เรื่องของทัศนคตินี่ซิ
จับต้องก็ไม่ได้
แถมใครคิดอะไรก็เป็นเรื่องประสบการณ์ และ ภูมิปัญญาของเขาเอง
คนอื่นพูดให้เปลี่ยนเนี้ย ...ยากส์

เลยต้องขอยกนิ้วให้
ทุกท่านที่ขึ้นพูดบนเวที
Ignite Thailand
ที่ทำให้ประเด็นนามธรรมนี้ถูกจับต้องได้
แถมทำให้คนคิดลบมากมายกลับใจกันในคราวนี้
... มันไม่ง่ายเลย
*

กลับมาที่เรื่องราวของการทำ presentation
"สิ่งเล็กเล็ก ที่เรียกว่า ลบ"

สังเกตุการลำดับเรื่องราวให้ดีนะคะ
การเปิดประเด็นด้วยสมการที่น่าสนใจ
แล้วค้างข้อสงสัย ด้วยระบบสัญญลักษณ์
แล้วก็....พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ

ถัดจากนั้น ค่อยคลี่คลายระบบความคิด
ด้วยรูปของ "ลิ้นชัก"
ผู้พูดเซียนมากในการค่อยให้ความคลี่คลายนั้น
เกิดขึ้นในหัวคนฟังไปพร้อมๆ กับการเล่าของท่าน
จนเหมือนว่า "เรา" ก็คิดได้เอง
ไม่ได้ฟัง หรือ ถูกบังคับเอาความคิดนั้นใส่สมอง
*
จบด้วยการเอาระบบสัญญลักษณ์ที่สร้างขึ้นไว้ตอนแรก
มาปิดสรุปลงอย่างสวยงาม

ยังแอบแถมยิ้มมุมปากด้วยวินาทีสุดท้าย
ถือเป็นการจบแบบสมบูรณ์แบบ
ด้วยรอยยอ้ม และ อิ่มเอิบ
*
ตบมือ

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Brain Rules



ทำไมต้องมารู้เรื่องสมองเหรอ?
*
ก็เพราะเวลาเราพรีเซ็นต์งาน
เราคงต้องการให้เขารับรู้ เชื่อ และ ตัดสินใจ
....
อย่างที่เราต้องการ
*
นั่นไง
เป็นการเล่นเกมส์กับสมองล้วนๆ เลย
ชิมิ
?
*
Presentation ชุดนี้ยาวเป็นร้อยหน้านะ
แต่รับรองอ่านแป๊บเดียวจบ
ไม่นานกว่าลงไปซื้อหมูปิ้งใต้ตึกหรอกนะ
รับรอง!
ลองดูหน่อยเถิด


*
คุณจะได้อะไรๆ มาใช้ในงานบ้าง
เช่น
คนเรามีความสนใจประมาณ 10 นาที
แล้วก็จะ drop ลง
หรือ
การพรีเซ็นต์ด้วยการเล่าประกอบภาพ
จะสร้างความจดจำได้ 65 %
*
ดูเสร็จแล้วก็ไม่ต้องไปถือสากับสถิติเท่าไหร่หรอกนะ
รู้เป็นไกด์ว่า เราควรจะต้องทำอะไร ประมาณไหนก็พอ
อย่าำให้สมองเราเหนื่อยเกินไป
กับการจำสถิติรกหัวนักเลย
5 5 5 5
*
แล้วงี้จะมีใครยอมดูไหมเนี้ย
...นั่นดิ

พลังของภาพ



ภาพถือเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญของนักพรีเซ็นต์
ที่จะช่วยวาดภาพสิ่งที่คุณพูดให้คนฟังได้เห็น
Let audience SEE what you are SAYING!
*
ดังนั้นการเลือกภาพที่ใช้ประกอบการนำเสนอ
ถือเป็นศิลปะการเล่าเรื่องมากพอๆ กับ
การเล่าเรื่องจากปากคุณเอง
*
ดังนั้น
กรุณาเลือกภาพคุณภาพสูง
Resolution มากหน่อย
แสงสวยหน่อย
และองค์ประกอบภาพสื่อสารมากหน่อย
*
หลีกเลี่ยงภาพจากการ serch google image
จริงๆ ดีก็มีนะ แต่ต้องเลือกเป็น
แต่ส่วนใหญ่ภาพจะเล็กมาก
เวลาขึ้น slide แตกกันลั่นสนั่นจอ
*
อาศัยเข้าตามเว็บไซต์ stock ภาพดีๆ อาทิ
istockphoto.com
gettyimages.com
corbisimages.com
*

และนี่คือตัวอย่างการใช้ภาพอย่างมีพลัง

ภาพสื่อสารได้เองจนทึ่ง
เพิ่มการเคลื่อนภาพเพื่อปิดซ่อน เปิดเผย และคลี่คลาย
ตัวหนังสือน้อยนิด ไม่เล่าเรื่องเท่าหมด
ปล่อยให้เห็น และ คิดกันเองบ้าง
จะทรงพลัง!
*
ถ้า...
ถือว่าเสียงร้องในกรณีนี่คือตัวเรา
ก็ให้สังเกตุการทำงานประสานของเสียงและรูป
ที่ไม่ได้เล่าบน line เดียวกันเป๊ะ
จะมาขมวดชนกันที่ จุดๆ หนึ่ง (ดูเอาเอง)
ซึ่งจะทำให้ตรงนั้นกลายเป็น peak ไปเลย

มันสอนเราว่า เราไม่จำเป็นต้องอ่านสไลด์ให้ใครฟัง
สไลด์ก็ไม่ต้องแสดงภาพเป๊ะกับสิ่งที่เราพูด
ทั้งสองสิ่งควรวิ่งไปในจุดเดียวกัน
แต่มีพลังของตัวเอง
และเติมเต็มในสิ่งที่อีกสิ่งไม่มี
*
พูดในสิ่งที่สไลด์ไม่ได้พูด
สไลด์มีภาพที่คนพูดพูดไม่ได้
!!!!